ปุ๋ยหมัก... เพื่อเกษตรกรไทยทั่วหล้า

 

 

"ต้นไม้ทุกชนิดต้องการอาหาร เพื่อการเจริญเติบโต พูดง่ายๆ เราต้องใส่ปุ๋ย ไร่นา สวนของเรา พืชผลจึงจะงามดี เดี๋ยวนี้ปุ๋ยที่ซื้อตามท้องตลาดแพงเหลือเกิน เรามาทำปุ๋ยหมักใช้เองดีกว่า"

พระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีฯ ที่ทรงพระราขทานสูตรและวิธีการทำปุ๋ยหมักเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไทย กรมพัฒนาที่ดินจึงได้สนองพระราช ดำริพระองค์ท่าน ด้วยการพัฒนาสูตรปุ๋ยดังกล่าว ที่มีขั้นตอนการทำดังนี้

วิธีทำ-ของที่ต้องเตรียม

          1.ซากพืช ได้แก่ ใบไม้ ผักตบชวา หญ้าแห้ง ลำต้นถั่ว ลำต้นข้าวโพด ใบ และต้นมันสำปะหลัง กระดูกปอ ตามที่มี สับเป็นท่อน ๆ  สั้น ๆ ให้เปื่อยเร็ว

          2.ปุ๋ย   - ก.ปุ๋ยคอก คือ มูลสัตว์ ขี้วัว ขี้ควาย ขี้เป็ด ขี้ไก่ ขี้ค้างคาว อะไรก็ได้ 

                     - ข.ปัสสาวะคน หรือสัตว์ 

                     - ค.กากเมล็ดนุ่น,กากถั่ว ,ซากต้นถั่วชนิดต่าง ๆ (พืชตระกูลถั่ว) 

          3.ดินร่วน พอสมควร ถ้าเป็นหน้าดินยิ่งดี  

 

 

การกองปุ๋ย      

          1.กองในหลุม ขุดหลุมกว้างราว 1 เมตร ยาว 1 เมตร ลึก 1 เมตร ระวังดินพังทลายลงในหลุม ถ้ามีการระบายน้ำได้ยิ่งดี       

         2.กองในคอก ปรับดินบริเวณที่จะกองปุ๋ยหมักให้แน่น ใช้ไม้ไผ่หรือไม้อื่นที่ทำได้ กั้นเป็นคอกกว้าง 2 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 1 เมตร แบ่งคอกเป็น 2 ส่วน ครึ่งหนึ่งใส่ปุ๋ยหมัก อีกครึ่งไว้กลับกองปุ๋ย ทำหลังคาใบจากหรือใบมะพร้าวคลุมหลังคา ถ้ามีถุงพลาสติกคลุมกันฝนชะปุ๋ยก็ดี

          3.เอาซากพืชที่เตรียมไว้กองเกลี่ยในคอก (หรือในหลุม) ให้เป็นชั้น เหยียบตามขอบให้แน่นขนาดคนเหยียบแล้วไม่ยุบอีก ชั้นหนึ่งๆ สูงราว 1 คืบ (30 ซม.) รดน้ำให้ชุ่ม แล้วเอาปุ๋ยคอกโรยทับให้ทั่วกัน สูง 2 องคุลี (5 ซม.) ถ้ามีปุ๋ยเคมี (สูตร 16-20-0 หรือ 14-14-14,แอมโมเนียมซัลเฟต หรือยูเรีย) โรยบางๆ ให้ทั่ว แล้วทับด้วยดินละเอียดหนาประมาณ 1 องคุลี สลับด้วยซากพืชแล้วรดน้ำทำเป็นชั้นๆ อย่างนี้จนปุ๋ยเต็มคอก (น้ำที่รดจะผสมด้วยปัสสาวะด้วยก็ได้)   

 

ข้อควรระวัง

           1.อย่าให้มีน้ำขัง การรดน้ำมากไปจะทำให้ระบายอากาศไม่ดี

           2.ปุ๋ยกองใหญ่ไปจะเกิดความร้อนสูง ปุ๋ยจะเสีย ถ้ากองปุ๋ยมีความร้อนสูงให้เติมน้ำบ้าง

           3.ปุ๋ยกองเล็กไป จะสลายตัวช้า

           4.อย่าใช้ปุ๋ยเคมีพร้อมกับใส่ปูนขาว จะทำให้ธาตุไนโตรเจนสลายตัว

 การกลับปุ๋ย

           ทุก 30 วัน ควรกลับกองปุ๋ย โดยเอาชั้นบนสุดของกองนำไปเกลี่ยในอีกส่วนของคอกเป็นชั้นล่างสุด แล้วเอาชั้นสองเกลี่ยทับแล้วรดน้ำ ควรกลับปุ๋ย (ทุก 30 วัน) จนกว่าซากพืชจะเปื่อยผุหมดทั้งกอง กินเวลา 3-4 เดือน เมื่อปุ๋ยใช้ได้ สังเกตุจากความร้อนในกองจะใกล้เคียงกับความร้อนของอากาศ ปุ๋ยหมักจะเป็นสีน้ำตาลแก่ เอาตะแกรงร่อนปุ๋ยหมักเก็บไว้

การใช้ประโยชน์

          ประหยัดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ครึ่งหนึ่ง ทำให้ดินร่วน อุดมสมบูรณ์ เพิ่มธาตุไนโตรเจน ไม่เป็นอันตราย รักษาความชุ่มชื้นของดิน

พร้อมกันนั้น กรมพัฒนาที่ดิน ได้สนองพระราชดำริ โดยได้ทำการศึกษา คิดค้น นวัตกรรม วิจัยจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ทางการเกษตรผลิตสารเร่งซุปเปอร์พด.1เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตปุ๋ยได้ในระยะเวลาอันสั้น ประหยัด สะดวก ง่าย ตรงกับความต้องการ

           ทว่า มีปัญหาเรื่องปริมาณธาตุอาหารหลักในปุ๋ยหมักไม่เพียงพอกับความต้องการธาตุอาหารของพืช กรมพัฒนาที่ดินจึงวิจัยต่อยอดเพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในปุ๋ยหมักให้มากขึ้น ด้วยการผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่มีธาตุอาหารสูง ใช้ขี้ไก่ ขี้หมู ขี้นกกระทา ขี้ควาย ขี้วัว กระดูกป่น และหินฟอสเฟต ฯลฯ ที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดต้นทุนใช้ปุ๋ยเคมี และสามารถปรับปรุงสมบัติทางกายภาพ ชีวภาพ เคมีในดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช

 

 

           ผลจากการทดลองพบว่าสามารถเพิ่มผลผลิตพืชได้ 20–30 % กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำความกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทาน พระราชานุญาตนำสูตรปุ๋ยดังกล่าวมาขยายผลเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกร ปรับใช้ทำเกษตรแบบพึ่งพาตนเองในวงกว้างต่อไป    

 

ที่มา : กรมพัฒนาที่ดิน