ธ.ก.ส.คาดราคาสินค้าเกษตร (ธันวาคม 63) ข้าว น้ำตาล ปาล์ม ปรับลด/ข้าวโพด ยาง มัน หมู กุ้ง ขยับขึ้น

      ธ.ก.ส. - นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร ประจำเดือนธันวาคม 2563 ไว้ดังนี้

       1) แนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.64+7.66 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.20 - 0.50 เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดลดลงในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว ขณะที่ความต้องการใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์จะเพิ่มขึ้นตามความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ และการส่งออกอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้ช่วงปลายปีซึ่งเป็นเทศกาลท่องเที่ยวและปีใหม่ ยางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3 ราคา อยู่ที่ 54.85-57.85 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.13-5.60 เนื่องจากความต้องการใช้ยางพารา ภายในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณผลผลิตยางออกสู่ตลาดน้อยลงจากการขาดแรงงานกรีดยาง ประกอบกับภาคใต้ของไทยช่วงครึ่งเดือนแรกอาจมีฝนตกต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการกรีดยาง รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.84 - 1.89 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.55-3.28 เพราะ เป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลผลิตปี 2563/64 ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มาก บวกกับสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเก็บเกี่ยว ส่งผลทำให้คุณภาพเชื้อแป้งอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความต้องการนำเข้า ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้นของจีนเพื่อนำไปใช้ผลิตเอทานอลทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ราคาสูง และมีปริมาณสต็อกคงเหลือลดลง กุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 136.25-137.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากเดือนก่อนร้อยละ 0.1- 0.74 เนื่องจากความต้องการในการบริโภคเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลการท่องเที่ยว ตามมาตรการวันหยุด และเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ประกอบกับเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยจากอากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้กุ้งเจริญเติบโตช้า อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยเสี่ยงจากราคากุ้งโลกกดดันราคาในประเทศให้ลดลง และหมู (สุกร) ราคาอยู่ที่ 76.65-76.70 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.59–1.66 เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ได้แก่ มาตรการคนละครึ่ง และช้อปดีมีคืน ผนวกกับใกล้ช่วงเทศกาล วันหยุดและการกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายปี ทำให้คนไทยเริ่มออกมาใช้จ่ายรวมถึงการบริโภคหมูเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น

       2) แนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 7,959 - 8,024 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 3.03-3.97 ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 9,103 - 9,346 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 9.11-11.48 และข้าวเปลือกเหนียว เมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 9,839 - 9,952 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 2.03 - 3.14 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปี โดยผลผลิตปีนี้ คาดว่าจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา และโรงสีบางแห่งประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องหรือปัญหาขาดทุน ท้าให้ชะลอหรือ หยุดการรับซื้อข้าวจากชาวนา ประกอบกับค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่าง ต่อเนื่อง ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันราคาส่งออกข้าวไทยลดลง น้ำตาลทรายดิบ ตลาดนิวยอร์ก ราคา อยู่ที่ 15.06 - 15.12 เซนต์/ปอนด์ (10.12 - 10.16 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.60 - 1.00 เนื่องจากค่าเงินเรียลบราซิลอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ กระตุ้นให้ผู้ผลิตน้้าตาลของบราซิลส่งออก น้้าตาลเพิ่มขึ้น และบราซิลได้เพิ่มสัดส่วนการน้าอ้อยไปผลิตน้้าตาลเป็นร้อยละ 63 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้ง แนวโน้มการผลิตและการส่งออกน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นของอินเดียยังเป็นปัจจัยกดดันราคาโดยคาดการณ์ว่าผลผลิตน้ำตาลของอินเดียในปีการผลิต 2563/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 หรือคิดเป็น 33.76 ล้านตัน และการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 หรือคิดเป็น 6.0 ล้านตัน และปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 6.00 - 6.15 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 8.89 - 11.11 เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาปาล์มน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรบางส่วนเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ โรงงานสกัดจึงรับซื้อผลผลิตในราคา ที่ต่ำลง