กรมการค้าภายใน ร่วมกับ กฟผ. ชี้แจงมาตรการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ

         นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาราคา ผลปาล์มน้ำมันตกต่ำ ด้วยการจัดทำสต็อกส่วนเกิน โดยให้จัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 200,000 ตัน ไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง เพิ่มเติมจากเดิมที่ใช้น้ำมันปาล์มดิบไปผลิตไฟฟ้าแล้ว จำนวน 160,000 ตัน

         กรมการค้าภายใน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะหน่วยงานดำเนินการที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงาน ได้เริ่มดำเนินมาตรการตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยในส่วนของกรมการค้าภายใน ได้จัดส่งรายชื่อโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด 25 จังหวัด ตรวจสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ เมื่อวันที่ 10 - 11 พฤษภาคม 2562 ซึ่งจากผลการตรวจสอบกว่าร้อยโรงงาน ปรากฎว่า มีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบประมาณ 2 แสนตันเศษ และกรมการค้าภายในได้จัดส่งรายชื่อพร้อมปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบที่ตรวจได้ให้ กฟผ. เพื่อใช้เป็นพิจารณาคัดเลือกผู้ยื่นใบสมัครจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ กฟผ. แล้ว และจะดำเนินการตรวจสอบสต็อกผู้ที่ได้รับการคัดเลือกและทำสัญญาซื้อขายกับ กฟผ. อีกสองครั้ง คือ ก่อนส่งมอบ และหลังการส่งมอบ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตรวจสอบ กำกับดูแลการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ตามมติคณะรัฐมนตรี

         สำหรับราคาน้ำมันปาล์มดิบ ที่ กฟผ. จะรับซื้อ 200,000 ตัน กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในเป็นผู้พิจารณาราคาที่เหมาะสม เพื่อให้ กฟผ. ใช้เป็นเกณฑ์รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ โดยสามารถสะท้อนไปยังราคาผลปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรขายได้ด้วย ซึ่งในเบื้องต้นนี้ เห็นว่า ราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ กฟผ. ควรรับซื้ออยู่ที่กิโลกรัมละ 16.25 - 16.50 บาท ซึ่งราคาผลปาล์มน้ำมันที่สอดคล้องกับอัตราดังกล่าวจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 2.50 - 3.00 บาท ใกล้เคียงกับต้นทุนของเกษตรกร โดยกรมการค้าภายในพิจารณาจากราคาน้ำมันปาล์มดิบ ส่งมอบ ณ กรุงเทพฯ ค่าใช้จ่ายที่เป็นภาระของผู้จำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ กฟผ. ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เช่น ค่าขนส่ง ค่ารักษาคุณภาพ ค่าสูญเสีย ค่าประกันภัยสินค้า และค่าประกันสัญญา เป็นต้น

 

         นายวิชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ. ได้ประกาศรับสมัครผู้สนใจจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2562 โดยกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการต้องเป็นโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่เป็นเจ้าของน้ำมันปาล์มดิบ และสต็อกไว้ในคลังของตัวเองเท่านั้นในปริมาณไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณที่เสนอขาย น้ำมันปาล์มดิบที่ขายต้องมีกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid : FFA) ไม่เกิน 5% ความชื้นไม่เกิน 0.05 % ทั้งนี้ กฟผ. จะชำระเงินค่าน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ผู้ขาย ภายใน 7 วันทำการ นับจากวันที่ได้รับเอกสารประกอบการเรียกให้ชำระเงินถูกต้องและครบถ้วน การดูดซับน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 200,000 ตันในครั้งนี้จะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน 2562 จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่ กฟผ. ได้ประกาศไว้ มายื่นใบสมัครเพื่อจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ กฟผ. ได้ที่ กฟผ. สำนักงานใหญ่ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

         นายวิชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน เร่งขับเคลื่อนมาตรการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินออกจากระบบ นอกจากนี้ ได้มอบกรมการค้าภายในเพิ่มความต้องการใช้ด้านการบริโภค ซึ่งกรมฯ จะส่งเสริมการบริโภคน้ำมันพืชปาล์มผ่านช่องทางธงฟ้าประชารัฐ เป้าหมาย 2,500 - 5,000 ตัน รวมทั้งได้มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเพิ่มเติมโดยเร็ว จึงขอให้เกษตรกรได้มั่นใจในมาตรการแนวทางช่วยเหลือของรัฐบาลว่ามุ่งเน้นประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับเป็นสำคัญและเป็นลำดับแรก สำหรับข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านการผลิตการตลาดปาล์มน้ำมันและ น้ำมันปาล์มทั้งระบบที่จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศไทย โดยเฉพาะข้อเสนอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรที่เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจฐานรากที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ทุกฝ่ายสามารถให้ความร่วมมือโดยช่วยกันนำเสนอแนวทางที่สร้างสรรค์เข้าสู่ช่องทางการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เพื่อผลักดันเสนอคณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นนโยบายสำคัญของประเทศต่อไป