สวทช.จับมือภาคี12หน่วยงาน ขับเคลื่อนอุตฯไม้เศรษฐกิจครบวงจร

 

     ปทุมธานี 29 มี.ค.- งานประชุมวิชาการ สวทช.ประจำปี 2562 (NAC2019) ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสมาคมที่เกี่ยวข้องกับไม้เศรษฐกิจ รวม 12 หน่วยงาน เปิดตัว “กลุ่มพัฒนาอุตสาหกรรมไม้เศรษฐกิจครบวงจร” ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง เพื่อร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไม้เศรษฐกิจครบวงจร ให้เป็นเครื่องมือตัวใหม่ในการพัฒนาประเทศที่จะสร้างรายได้ปีละ 2-4 ล้านล้านบาท  

     โดย 12 หน่วยงานที่ร่วมขับเคลื่อน ได้แก่ 1) คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ 2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก 3) มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ 4) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ 5) กรมป่าไม้ 6) วิสาหกิจชุมชน ชมรมไม้กฤษณา (ไม้หอม) แห่งประเทศไทย 7) สมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ 8) สมาคมธุรกิจไม้โตเร็ว 9) สมาคมธุรกิจไม้ 10) สมาคมการค้าชีวมวลไทย 11) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และ 12) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)   

     ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ทำให้โลกหันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ และนำไม้จากแหล่งที่จัดการอย่างยั่งยืนมาใช้ประโยชน์ ความต้องการไม้ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มเช่นนี้ไปอีกนาน สอดคล้องกับช่วงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมไม้เศรษฐกิจครบวงจรมีศักยภาพที่จะสร้างรายได้ให้ประเทศประมาณปีละ 2-4 ล้านล้านบาท 

     "ทุกหน่วยงานจะได้ใช้ศาสตร์ที่ตัวเองมีมาทำงานร่วมกัน พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับไม้เศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงสร้างมาตรฐาน การทดสอบ การสอบย้อนกลับว่าไม้เหล่านั้นมาจากป่าปลูกหรือไม่ เพื่อร่วมกันดูแลให้อุตสาหกรรมไม้เศรษฐกิจเป็นอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน อยู่คู่กับเศรษฐกิจไทยโดยไม่ทำลายสิ่งแวด ล้อม โดยมีความร่วมมือ 5 ปี และมอบหมายให้ สวทช.เป็นฝ่ายเลขานุการกลุ่ม เชื่อว่าการทำงานร่วมกันครั้งนี้ จะส่งผลที่ดีต่อการทำงานของภาคเกษตรกร ชุมชน และประชาชนทั่วไปในการที่จะใช้ไม้เศรษฐกิจเป็นฐานสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับครอบครัวต่อไปในวันข้างหน้า” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว

      ด้าน นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ หนึ่งในภาคีร่วมลงนามขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม้ครบวงจร กล่าวว่า จากนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการผลิตไม้เศรษฐกิจในปัจจุบัน และการแก้กฎหมายที่อำนวยความสะดวกเรื่องที่ให้ประชาชนปลูกไม้มีค่า ทั้งในที่ดินที่เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์และที่ดินที่รัฐอนุญาตใช้ประโยชน์ จึงจะมีพื้นที่อย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านไร่ เป็นเป้าหมายในการปลูก ดังนั้น จึงควรเร่งสร้างให้เกิดห่วงโซ่อุปทานของไม้เศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้กล้าไม้พันธุ์ดี เมื่อไม้โตแล้วเป็นไม้ที่มีคุณภาพ รวมถึงความรู้เรื่องกระบวนการตัดไม้หลังจากไม้โตแล้ว การต่อยอดพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ไม้เพื่อเพิ่มมูลค่า การส่งเสริมให้เกิดการค้าไม้ไปยังต่างประเทศ ทั้งไม้ท่อน ไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายที่มีองค์ความรู้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มาร่วมกันขับเคลื่อน เพราะแต่ละหน่วยงานมีจุดเด่นต่างกัน เช่น เรื่องเทคโนโลยีพัฒนาสายพันธุ์ นวัตกรรมการแปรรูปไม้หรือผลิตภัณฑ์ไม้ การสร้างมูลค่าไม้ ฯลฯ เชื่อว่าในอนาคตหากทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครบวงจร จะทำให้เศรษฐกิจที่เกิดจากไม้มีมูลค่าเพิ่มจำนวนมาก

     “มูลค่าของไม้มีมูลค่าด้วยตัวเอง ค่านิยมของการใช้ไม้เริ่มคืนกลับมา ปัจจุบันความต้องการของชาวต่างชาติ ทั้งสหภาพยุโรป จีน เอเชียแปซิฟิก ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มีความต้องการใช้ไม้สูงมาก ประโยชน์ที่ได้รับไม่ใช่มูลค่าของไม้ที่ได้อย่างเดียว แต่เป็นมูลค่าที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นมูลค่าที่ช่วยสร้างอากาศให้บริสุทธิ์ ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ไม้เหล่านี้ ตอบสนองต่อตลาดโลก ฉะนั้น จึงต้องมีเทคโนโลยีพัฒนาคุณภาพของไม้ เทคโนโลยีที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มที่มีมาก กว่าไม้ท่อนและไม้แปรรูป” อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าว