ไทยจัดประชุมไตรภาคียาง เล็งจำกัดส่งออก 3 ประเทศรวม 3 แสนตัน

         เมื่อวันที่ 22 ก.พ.62 นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย H.E. Darmin Nasution รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานกิจการเศรษฐกิจสาธารณรัฐอินโดนีเซีย, H.E. Teresa Kok Suh Sim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานของมาเลเซีย และเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลประเทศสมาชิก ได้ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีไตรภาคียางระหว่างประเทศ (ITRC) สมัยพิเศษ ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ

        โดย นายกฤษฎา เปิดเผยว่า ทุกประเทศตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ จึงมีการนำเอานโยบายต่าง ๆ แก้ไขปัญหาตั้งแต่การพยายามลดการพึ่งพาการส่งออก การเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้นให้เกิดความสมดุล ด้วยการลดปริมาณการผลิตยางธรรมชาติลง เพื่อทำให้ราคายางพาราในประเทศมีเสถียรภาพ ซึ่งทาง ITRC และ IRCo (เออโก้) มีความพยายามแก้ปัญหาดังกล่าว โดยการกำหนดนโยบายและโครงการต่าง ๆ ขึ้น ได้แก่ โครงการส่งเสริมด้านอุปสงค์เพิ่มปริมาณการใช้ยาง โครงการประกวดผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมจากยางธรรมชาติ และการสร้างแบบจำลองในการพยากรณ์อุปสงค์ยางพาราโลก อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ยังไม่ได้มีการลงนามเพื่อดำเนินมาตรการใด เนื่องจากจะต้องทำอย่างรอบคอบ จึงเห็นสมควรแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคระดับสูงจากทั้ง 3 ประเทศ หารือรายละเอียดอีกครั้งในวันที่ 4 มีนาคมนี้ ที่จังหวัดสงขลา



 

         รมว.เกษตรฯ กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยได้มีการกำหนดนโยบายและแนวทางในการแก้ปัญหาราคายางทั้งนโยบายระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่ การจัดทำโครงการพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกรชาวสวนยางเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างที่ราคายางพาราตกต่ำ โดยเชิญชวนและรับสมัครเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศที่สนใจเข้าร่วมโครงการฝากน้ำยางไว้กับต้นยาง หรือหยุดกรีดยางเป็นเวลา 1-2 เดือน การส่งเสริมและเร่งรัดการใช้ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพาราในประเทศให้มากขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มจากหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ วัสดุ ครุภัณฑ์ สิ่งก่อสร้างที่มีส่วนผสมของยางพาราเพิ่มมากขึ้น เช่น บล็อกยางปูพื้น ยางปูสนามฟุตซอล และถนนยางพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต เป็นต้น

         นอกจากนี้ โครงการเร่งด่วนที่ผลักดันให้มีการดำเนินในปัจจุบัน ได้แก่ การสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศสร้างถนนยางพารากว่า 75,000 หมู่บ้าน โดยมีการสร้างถนนที่มีส่วนผสมของยางพาราในอัตราหมู่บ้านละ 1 กิโลเมตร เพื่อดูดซับน้ำยางออกจากระบบตลาด และเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศ ขณะเดียวกันก็ได้เชิญชวนบริษัทเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนผลิตและแปรรูปยาง โดยให้มีสิทธิพิเศษทางการลงทุน อีกทั้งรัฐบาลไทยก็มีมาตรการในการการควบคุมการผลิตโดยเชิญชวนให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ทดแทนยางพารา เช่น กาแฟ โกโก้ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านยางพาราภายในประเทศ เช่น ผลิตล้อยาง เป็นต้น

 

         อย่างไรก็ตาม การออกนโยบายของแต่ละประเทศผู้ผลิตยางเพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมยางธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ด้วยเหตุนี้ประเทศสมาชิก ITRC ทั้ง 3 ประเทศ จึงได้มาประชุมเพื่อแต่งตั้งคณะทำงานร่วมในการค้นหาวิธีการและมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขให้ราคายางพารามีเสถียรภาพ โดยการประชุดดังกล่าวได้เห็นชอบร่วมกันที่จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่อาวุโสจากทั้ง 3 ประเทศ เพื่อมาพูดคุยถึงการรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยมาตราการที่ใช้ในในการมาหารือร่วมกัน ได้แก่ 1) มาตรการจำกัดปริมาณการส่งออกยาง จะพิจารณาร่วมกัน ซึ่งมีปริมาณระหว่าง 200,000 - 300,000 ตัน 2) จะหาวิธีการเพิ่มปริมาณการใช้ยางของทั้ง 3 ประเทศให้เพิ่มมากขึ้น 3) การลดพื้นที่การปลูกยางพาราไปปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนพร้อม ๆ กัน ทั้ง 3 ประเทศ หรือ Supply Management Scheme (SMS) 4) การจัดทำตลาดยางพาราร่วมกันระหว่างภูมิภาค หรือ Regional Rubber Market (RRM) เพื่อใช้เป็นตลาดกลางซื้อขายยางพาราและการซื้อขายล่วงหน้าด้วย และ 5) การตั้งสภายางแห่งอาเซียน หรือ ASEAN Rubber Council (ARC) เพื่อเป็นเวทีให้ทั้ง 3 ประเทศมาพูดคุยกันตั้งแต่การแปรรูปยางพารา การศึกษาค้นคว้า งานวิจัย หรือเวทีและเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นต้น

 

AD BANNER HEAD