เมื่อ"กฤษณา"ไม้ของพระเจ้า-ราคาแพงสุดในโลก! ปลูกได้ไม่ผิดกฏหมาย

 

     ว่กันว่า "กฤษณา" เป็นไม้หอมอันทรงคุณค่ามาแต่โบราณ และมีราคาแพงที่สุดในโลก ถึงขนาดบางคนเรียกว่า เป็นไม้ของพระเจ้า (Wood of God) มนุษย์หลายชาติหลายภาษาต่างต้องการ ด้วยประโยชน์ที่มากมายมหาศาล คุณสมบัติพื้นบ้าน (ประเทศแถบอาเซี่ยน) ป้องกันแมลง เห็บ เหา เป็นเครื่องยาสมุนไพรบรรเทาสารพัดโรค ด้านอุตสาหกรรม (ระดับนานาชาติ) หลายประเทศทั่วโลกใช้เข้าเครื่องยาสร้างกลิ่นหอมเพื่อการบำบัด ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “อโรมาเทอราปี-Aromatherapy” อีกทั้ง อุตสาหกรรมน้ำหอมที่ใช้ผลิตผลจากไม้ชนิดนี้เป็นตัวปรุงแต่งกลิ่น จนเกิดเป็นแบรนด์ดังที่มีราคาแพงสุดโคตร

      จากความต้องการของตลาด (โลก) ในไม้ชนิดนี้ที่นับวันทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้ที่ผ่านมาได้มีการแอบลักลอบตัดกันจนแทบจะสูญพันธุ์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ต่อมาในหลายประเทศได้มีการรณรงค์ให้เกิดการปลูกไม้กฤษณาในเชิงพาณิชย์ขึ้น โดยเฉพาะประเทศกลุ่มอาเซียน ไทย ลาว เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย 

      อย่างในบ้านเรา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา ได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปลดล็อกพรรณไม้ยืนต้น รวม 58 ชนิด (ที่จำนวนกว่าครึ่งเป็นไม้ป่าหวงห้าม) ให้ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ ซึ่งนั่นหมายถึงประชาชนสามารถปลูกในที่ดินของตนเอง (พื้นที่มีเอกสารสิทธิครอบครอง) ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย และหนึ่งในจำนวนนั้นคือ "ไม้กฤษณา" 

      "ไม้กฤษณา" มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์ในแถบเอเชีย อินเดีย ทิเบต ภูฐาน พม่า จีน มลายู เกาะสุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไทย อยู่ในวงศ์ THYMELAEACEAE : Aquilaria ชื่อพื้นเมือง กฤษณา ไม้หอม สีเสียดน้ำ กันเกรา กายูการู กายูกาฮู (ไทย), gaharu kikaras mengkaras (อินโดนีเซีย), gaharu tengkaras karas (มาเลเซีย), agar (พม่า), Eagle Wood Agarwood Aloewood Calambour (อังกฤษ) และ Sasi (Assamese) Chen Xiang (จีน) 

       เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ สูง 18-21 เมตร เส้นรอบวง 1.5-1.8 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์หรือรูปกรวย ต้นตรง เปลือกสีเทาอมขาว 

       ใบ - เป็นแบบใบเดี่ยว เรียงตัวสลับ รูปไข่ ขอบขนาน ปลายเรียวแหลม ใบกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 7-9 ซม.ใบอ่อนสีเขียวอ่อน ใบแก่สีเขียวเข้ม ก่อนร่วงเป็นสีเหลือง

       ดอก - สีเขียวอมเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ คือ มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ออกเป็นช่อเล็กๆ ตามง่ามใบที่ปลายกิ่ง ช่อละ 4-6 ดอก 

       ผล - รูปโล่หรือรูปตลับ เปลือกแข็ง ปลายผลมีติ่ง ผลแก่แตกอ้าเป็น 2 ซีก ด้านในมี 2 เมล็ด เมล็ดมีชีวิตเพียง 1-2 สัปดาห์ หลัง 4 สัปดาห์อัตราการงอกลดลงจนไม่มีการงอก

       ขยายพันธุ์ - เพาะเมล็ด โดยนำเมล็ดเพาะในทรายจนกว่าจะงอก แล้วย้ายใส่ถุงไว้ในเรือนเพาะชำก่อนนำปลูกลงดิน เติบโตได้ดีในที่มีอากาศร้อนชื้น 

ประโยชน์ทางอุตสากรรม

       อย่างที่ทราบมูลค่า หรือราคาของไม้ชนิดนี้ อันเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลกนั้น อยู่ที่ตัวเนื้อไม้ซึ่งผลิตน้ำมัน ทว่า โดยธรรมชาติของไม้หอมกฤษณานี้ มีลักษณะของเนื้อไม้หลักๆอยู่ 2 อย่างคือ เนื้อไม้ปกติไม่มีน้ำมัน และเนื้อไม้ที่มีน้ำมัน 

       1) เนื้อไม้ปกติ จะมีสีขาวนวลเมื่อตัดใหม่ๆ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน เสี้ยนจะตรง เนื้อหยาบปานกลาง เลื่อยผ่าได้ง่าย ขัดชักเงาไม่ดี ไม่ทนทาน เมื่อแปรรูปเสร็จ ควรรีบกองผึ่งให้แห้งโดยเร็ว 

       2) เนื้อไม้หอมที่มีน้ำมัน จะมีสีดำ หนัก และจมน้ำ คุณภาพของเนื้อไม้ ขึ้นอยู่กับการสะสมของน้ำมัน หรือยางเหนียว (Resin) ซึ่งมีสารสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นหอม Sesquiterpene alcohol, Essential oils ภายในเซลล์ต่างๆของเนื้อไม้ ซึ่งสารหอมเหล่านี้แยกได้เป็น Agarol , Dihydroagarofuran, a-Agarofuran, b-Agarofuran ,Agarospirol เป็นต้น

        วิธีตรวจความเป็นไม้หอมปกติ หรือไม้หอมมีน้ำมัน 1) ทำได้โดยการทิ้งท่อนไม้ลงในน้ำ ถ้าท่อนไม้จมน้ำจะมีคุณภาพดีเลิศเรียกว่า “Gharki” ชนิดนี้เนื้อไม้มีสีดำ กลิ่นหอมมาก 2) ถ้าท่อนไม้เริ่มลอยปริ่มน้ำ มีสีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำเงินเข้ม ชนิดนี้คุณภาพจะรองลงมาเรียกว่า “Neem Gharki” และ 3) ถ้าท่อนไม้เมือโยนไปแล้วลอยน้ำเลย ชนิดนี้คุณภาพต่ำเรียกว่า “Samaleh”และเมื่อเผาเนื้อไม้จะไม่พบกลิ่นหอมเลยแม้แต่น้อย 

        ในประเทศไทยเราพบไม้หอมกฤษณา 4 ชนิด คือ Aquilaria baillonil, A. crassna Pierre, A. malaccensis Lamk. และ A. subintegra Ding Hau และสามารถแบ่งคุณภาพของเนื้อไม้ (ตามระดับความหนักของน้ำมันที่ผสมในเซลล์ไม้) ออกเป็น 4 เกรดดังนี้

        เกรด1 ไม้ลูกแก่น มีน้ำมันสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วเนื้อไม้ ทำให้มีสีดำ มีราคาแพง 15,000-20,000 บาท/กก.มีน้ำหนักเป็น 1.01 เท่าของน้ำ หนักกว่าน้ำ จึงจมน้ำ

        เกรด2 มีกลิ่นหอมและน้ำมันสะสมรองจากเกรด 1 สีจะจางออกทางน้ำตาล ราคา 8,000-10,000 บาท/กก. มีน้ำหนักเบากว่าน้ำ

        เกรด3 มีกลิ่นหอมและน้ำมันสะสมรองจากเกรด 2 ราคา 1,000-1,500 บาท/กก. มีน้ำหนักเป็น 0.62 เท่าของน้ำ เบากว่าน้ำ จึงลอยน้ำ และ

        เกรด4 มีกลิ่นหอมและน้ำมันสะสมอยู่น้อย ใช้กลั่นน้ำมันหอมระเหย ราคา400-600 บาท/กก. มีน้ำหนัก 0.39 เท่าของน้ำ จึงลอยน้ำ ชนิดนี้ ชาวบ้านจะเรียกว่าไม้ปาก ส่วนเนื้อไม้ปกติที่ไม่มีน้ำมันสะสมอยู่ จะมีน้ำหนักเพียง 0.3 เท่าของน้ำ

ประโยชน์สรรพคุณทางยา

        - เนื้อไม้ ที่มีสีดำเข้ม มีกลิ่นหอม นำมาใช้ทำยาแก้อาเจียน ท้องร่วง วิงเวียนศีรษะ แก้กระหายน้ำ แก้ปวดตามข้อ ขับลม

        - แก่นไม้ ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต รักษาโรคลม หน้ามืด บำรุงตับ ปอด แก้หอบหืด ปวดบวมตามข้อ บรรเทาโรคกระเพาะอักเสบ 

        - เมล็ด นำมาสกัดน้ำมัน แก้โรคมะเร็ง โรคเรื้อน ทำเครื่องหอม

         - ผงไม้ ชาวฮินดู มลายู อาหรับ ใช้รักษาโรคผิวหนัง ฆ่าหมัด เหา ประทินผิว ทำธูปหอม ยาหอม

        อย่างไรก็ตาม แม้ไม้กฤษณาจะมีราคาแพงและมีความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ มูลค่าหรือราคาของไม้ชนิดนี้อยู่ที่ตัวน้ำมัน ดังนั้น การที่จะปลูกให้ได้ไม้กฤษณาผลิตน้ำมันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม้กฤษณาที่ผลิตน้ำมันส่วนใหญ่ต้องมีอายุกว่า 10 ปี และต้องอาศัยเทคนิคบางประการช่วยกระตุ้นให้มันตกน้ำมัน เกษตรกรจึงควรระมัดระวังในการลงทุน เพราะกว่าจะคืนทุนอาจต้องใช้เวลานาน ทว่า หากปลูกไว้รอบๆพื้นที่ เป็นแนวเขต แนวรั้ว อาศัยร่มเงา 10-20 ต้น ในยุคที่ไม้หอมชนิดนี้ได้ปลดล็อกออกจากไม้ป่าหวงห้าม ประเภท ข ผมว่าไม่เลวเลยนะครับ

        อ้างอิง : สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี., ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.,โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง. ,ชมรมไม้กฤษณา (ไม้หอม) แห่งประเทศไทย “การนำส่วนต่างๆของกฤษณามาใช้ประโยชน์., เว็บไซต์ เดอะแดนดอตคอม.