ประกาศเขตควบคุมโรคใบด่าง : รัฐจ่ายชดเชย 1,148 บาท/ไร่ ไม่เกิน 30 ไร่

 

    กรุงเทพฯ 25 ต.ค.-นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานประชุมร่วมกับกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสมาคมมันสำปะหลัง 4 แห่ง เพื่อกำหนดมาตรการเฝ้าระวังโรคใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งกำลังระบาดอย่างรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้านว่า ได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร ส่งเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครเกษตร สำรวจพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศรวมกว่า 3.1 ล้านไร่ ซึ่งดำเนินการสำรวจแล้ว 1.87 ล้านไร่ พบต้นที่มีอาการใบด่างที่เกิดจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) 22 ต้นในพื้นที่ 906 ไร่ ซึ่งได้ถอนทำลายเรียบร้อยแล้ว และเข้าไปติดตามการระบาดทุก 2 สัปดาห์

      โดยยกเว้นพื้นที่หมู่ 3 และหมู่ 6 ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี เพราะจากการสำรวจพบการระบาดกระจายเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ 850 ไร่ จึงจำเป็นต้องออกประกาศกรมวิชาการเกษตร กำหนดเขตควบคุมศัตรูพืช พ.ศ.2561 เพื่อห้ามไม่ให้บุคคลใดนำพืช ศัตรูพืช พาหะออกไปนอกหรือนำเข้ามาในเขตควบคุมศัตรูพืชพื้นที่ทั้ง 2 หมู่บ้าน ตามประกาศเป็นแหล่งผลิตพันธุ์มันสำปะหลังที่สำคัญแหล่งหนึ่ง ซึ่งสามารถกระจายพันธุ์ไปปลูกต่อในพื้นที่ได้ถึง 50,000 ไร่ หากมีการขนย้ายไปปลูกในแหล่งอื่นอาจทำให้โรคแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

      นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ล่าสุด รมว.เกษตรฯ ได้สั่งการให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ (วอร์รูม) เฝ้าระวังการแพร่ของโรคจากประเทศเพื่อนบ้านมายังไทยอย่างเข้มงวด ให้หน่วยงานในพื้นที่สำรวจพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ โดยแบ่งพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังออก เป็น 3 ระดับ คือ พื้นที่เสี่ยงมาก ได้แก่ พื้นที่ติดชายแดนในภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างรวม 6 จังหวัด และแหล่งจำหน่ายพันธุ์ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง ได้แก่ พื้นที่ติดชายแดนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนรวม 11 จังหวัด และ พื้นที่เสี่ยงน้อย ได้แก่ พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั่วไป  31 จังหวัด โดยดำเนินการให้เสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนพื้นที่ทั่วไปเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน รวมทั้งประสานผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศพื้นที่แพร่ระบาดกรณีต้องทำลายมันสำปะหลังเป็นเขตภัยพิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 เพื่อจะได้สนับสนุนเงินชดเชยให้แก่เกษตรกรไร่ละ 1,148 บาท ไม่เกิน 30 ไร่

      อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวอีกว่่า รมว.เกษตรฯ ได้ขอความร่วมมือเกษตรกรไม่ให้นำเข้าท่อนพันธุ์จากประเทศเพื่อนบ้านมาปลูก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ.2507 และย้ำว่าท่อนพันธุ์มันสำปะหลังในไทยมีเพียงพอ โดยสมาคมมันสำปะหลังเตรียมไว้ 3.9 ล้านท่อน เพื่อใช้ปลูกในฤดูกาลเพาะปลูกมันสำปะหลังใหม่ในเดือนมกราคม อีกทั้งกรมส่งเสริมการเกษตรจะชี้แหล่งท่อนพันธุ์สะอาดปราศจากโรคให้เกษตรกรไปซื้อได้ ปัจจุบันราคาท่อนละ 50 สตางค์และได้เตรียมท่อนพันธุ์จากศูนย์วิจัยของกรมไว้ส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุน ซึ่งระยะเวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยใช้เวลา 9 เดือน 

       ด้านสมาคมมันสำปะหลังทั้ง 4 แห่ง จะช่วยเข้าไปสร้างการรับรู้แก่เกษตรกร เพื่อให้ตระหนักว่าหากเกิดโรคต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เกษตรทันที อีกทั้ง สมาคมมันสำปะหลังจะรับซื้อหัวมันจากแปลงที่ถูกทำลายต้น แต่หัวมันยังไม่เสียหายเป็นกรณีพิเศษ โดยโรงงานจะรับซื้อหัวมันที่มี เชื้อแป้งอย่างน้อย 25 % กิโลกรัมละ 2.98 บาท แต่หากเชื้อแป้งต่ำกว่าซึ่งปกติโรงงานจะไม่รับซื้อ ก็จะรับซื้อจากเกษตรกรเป็นกรณีพิเศษในราคาที่เหมาะสม แต่หากเชื้อแป้งเกินกว่า 25% จะเพิ่มราคาให้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกษตรกรไม่ปิดบังหากพบอาการน่าสังสัยของโรคนี้ เนื่องจากเกรงจะถูกทำลายแปลงเพราะหัวมันยังขายได้ อย่างไรก็คาม กรณีต้องทำลายทั้งแปลงจะมีค่าชดเชยจากภาครัฐให้