เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2561 นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานแถลงข่าวแนวโน้มสถานการณ์น้ำในฤดูฝนปี 2561 และแนวทางการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน ณ ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน สามเสน
          นายกฤษฎา กล่าวว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนหลักทั่วประเทศ รวมถึง 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา มีเฉลี่ยร้อยละ 60 ส่วนอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 412 อ่าง มีปริมาณน้ำร้อยละ 70 ซึ่งแม้บางช่วงจะมีฝนตกน้อยหรือฝนทิ้งช่วง ก็ขอให้สำนักชลประทานต่าง ๆ จัดสรรน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค การเกษตร การประกอบอุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศน์ ให้เพียงพอจนถึงเดือนกรกฎาคม
         ช่วงเดือนสิงหาคมโดยเฉลี่ยจะเกิดพายุปีละ 1 ลูก มีพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากหรือน้ำล้นตลิ่ง ได้แก่ เชียงใหม่ แพร่ น่าน สุโขทัย อุตรดิตถ์ ลำปาง เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี หนองคาย เลย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ก็ได้ให้สำนักชลประทานทั่วประเทศเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือ และวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

         นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าปริมาณฝนปีนี้จะต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยร้อยละ 8 ภาวะน้ำหลากและน้ำล้นตลิ่งจะส่งผลกระทบน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ได้สั่งการให้อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 412 อ่าง รักษาปริมาณเก็บกักไม่ให้เกินร้อยละ 80 ของความจุอ่าง ขณะนี้ยังมี 43 อ่างที่มีปริมาณเกินและทยอยระบายออกสู่ระบบชลประทาน ทำให้พื้นที่ดอนปกติต้องรอฝนหลายแห่งมีน้ำปลูกข้าวแล้ว
         ขณะที่เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อน เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาณน้ำรวมกัน 12,979 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 52 โดยปริมาณน้ำใช้การได้ 6,283 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 35 ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2560 ปีนี้มีปริมาณน้ำใช้การได้มากกว่า 2,039 ล้าน ลบ.ม.
         สำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูฝนทั่วประเทศ ปัจจุบันมีการเพาะปลูกแล้ว 4.33 ล้านไร่ จากแผนทั้งประเทศ 16.47 ล้านไร่ เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการเพาะปลูกพืชไปแล้ว 3.05 ล้านไร่ จากแผน 7.73 ล้านไร่ ส่วนการทำนาปีในพื้นที่ลุ่มต่ำทั้ง 13 ทุ่งนั้น ปัจจุบันทุ่งบางระกำมีการเพาะปลูกเต็มพื้นที่แล้วส่วนพื้นที่ลุ่มต่ำ 12 ทุ่งเจ้าพระยาตอนล่าง มีการเพาะปลูกไปแล้ว 0.707 ล้านไร่ จากพื้นที่เป้าหมายที่ วางไว้ 1.15 ล้านไร่