ครม.อนุมัติขยายผลธนาคารปูม้าชุมชน

         นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ติดตามธนาคารปูม้า โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ขยายผลธนาคารปูม้า เพื่อคืนปูม้าสู่ทะเลไทย เนื่องจากที่ผ่านมามีการจับปูม้าก่อนเวลาอันควร หรือการจับแม่ปูไปจำหน่ายขณะที่ยังมีไข่ จึงทำให้แม่ปูไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ ดังนั้นจึงมีโครงการขยายพันธุ์ปูม้า ตามโครงการคืนปูม้าสู่ทะเลไทยมากขึ้น โดยธนาคารปูม้าปัจจุบันมีอยู่ 191 แห่ง ใน 20 จังหวัดชายทะเล ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของหลายๆ หน่วยงาน
         ประกอบด้วย สำนักคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ขยายผลการพัฒนาธนาคารปูม้า โดยนำองค์ความรู้ด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่ พร้อมทั้งให้มีการทำวิจัยเพิ่มเติม เพิ่มอัตราการรอดของลูกปูม้า การอนุบาลแม่ปูไข่นอกกระดอง และลูกปูม้าวัยอ่อน วิจัยแหล่งที่อยู่อาศัยของลูกปูม้าวัยอ่อน วิจัยช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมในการปล่อยลูกปูม้าคืนสู่ทะเล วิจัยเรื่องการขนย้ายลูกปูม้าลงทะเล
         กรมประมง ออกแบบและกำหนดวิธีการบริหารจัดการ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรปูม้าโดยชุมชนมีส่วนร่วม มีมาตรการส่งเสริมการฝากแม่ปูม้าไข่นอกกระดองกับธนาคารปูม้า และการส่งเสริมให้ปูม้าไทยสู่ตลาดโลกโดยผ่านการประเมินตามเกณฑ์มาตรฐานสากล

         กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้ความเห็นชอบพื้นที่ที่จะใช้มาตรการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยาการทางทะเลและชายฝั่ง
         ธนาคารออมสิน สนับสนุนเงินทุน (สินเชื่อ) เพื่อให้ชุมชนเริ่มทำและดำเนินการธนาคารปูม้าและการอนุบาลลูกปูม้าชายฝั่ง โดยวงเงิน ชุมชนละประมาณ 150,000 - 200,000 บาท เพื่อเป็นเงินทุนในการจัดระบบธนาคารปูม้า การสนับสนุนโรงเรียนและเซลล์แสงอาทิตย์ และเงินทุนหมุนเวียนการดำเนินการ
         บริษัทประชารัฐรักสามัคคี ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ช่วยสนับสนุนด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์
         บริษัทไปรษณีย์ไทย บริการนำปูม้าจากชุมชนที่มีธนาคารปูม้าไปเป็นสินค้าแนะนำที่สามารถซื้อขายได้
         และกระทรวงพาณิชย์ จะสนับสนุนการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในช่องทางปกติและช่องทางออนไลน์
         ทั้งนี้ถ้าชุมชนปล่อยไข่ปูม้าจากแม่ปูม้าได้เดือนละ 100 ตัว จะมีลูกปูม้าเพิ่มขึ้น 0.1 -  1 ล้านตัว ทำให้มีรายได้จากการขายปูม้า 2.5 ล้านบาท/ชุมชน/เดือน และหากขยายผลมากกว่า 1,000 ชุมชน จะมีมูลค่าถึง 2,500 ล้านบาท/เดือน ทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เศรษฐกิจฐานรากของประเทศจะเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน