• 15 พฤษภาคม 2017 at 13:09
  • 462
  • 0

 

 

 

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดเวทีเสวนาวิชาการ ปัญหาหมอกควันกับนวัตกรรมการจัดการอย่างยั่งยืน เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศโดยใช้การพัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศที่เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถส่งข้อมูลให้กับผู้เฝ้าระวังเป็นรายชั่วโมง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามสถานการณ์หมอกควันและไฟป่าให้แม่นยำและตอบสนองต่อเหตุการณ์เร็วขึ้น 

 

ผศ.ดร.สรรเพชญ ชื้อนิธิไพศาล นักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. โดยในขั้นต้น ได้ทำการทดสอบระบบดังกล่าวในพื้นที่ จ.น่าน เป็นโครงการนำร่อง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันอยู่ทุกปี ระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศได้ถูกติดตั้งพื้นที่ จ.น่าน ทั้งหมด 95 แห่ง ณ ที่ทำการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆในแต่ละอำเภอ ทั้ง อบจ. อบตและที่ทำการเทศบาล  

 

โดยเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งจะตรวจวัดพารามิเตอร์ทางด้านคุณภาพอากาศทั้งอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์และปริมาณฝุ่นละอองต่างๆได้แก่ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 1 2 และ 10 ไมครอน  และส่งข้อมูลผ่าน Wifi เข้าสู่ระบบ Cloud ซึ่งจะแสดงผลตรวจวัดผ่านแอพพลิเคชั่น  บนเว็บไซต์ ซึ่งปรากฏแผนที่ จ.น่าน พร้อมกับตำแหน่งของเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งไว้ และเมื่อคลิกที่เซนเซอร์แต่ละจุดก็จะทราบข้อมูลสภาพอากาศ ณ จุดนั้นออกมาในรูปแบบกราฟ ซึ่งจากข้อมูลที่แสดงผล ผ่านแอพพลิเคชั่น ชี้ให้เห็นว่ามีไฟป่าเกิดขึ้นอยู่ 

 

 

 

 

จากการสำรวจพบว่าในช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  สภาพอากาศที่ตรวจวัดได้มีค่าฝุ่นละอองขนาด 2.5 และ 10 ไมครอน ซึ่งเกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไปในหลายพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลการตรวจสอบในพื้นที่ว่าเริ่มมีการเผาพื้นที่เกษตรกรรม และมีแนวโน้มเดียวกันกับข้อมูลสภาพอากาศของปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้นอกจากแอพพลิเคชั่นจะแสดงข้อมูลตามเวลาจริงแล้ว ยังสามารถแสดงข้อมูลสภาพอากาศย้อนหลังเพื่อดูแนวโน้มการเกิดปัญหาหมอกควันได้อีกด้วย

 

ด้านรศ.ดร.ชนาธิป ผาริโน ผอ.ฝ่ายสวัสดิภาพและสาธารณะ สกว. กล่าวเสริมว่า  งานวิจัยมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควัน แต่การแก้ปัญหาดังกล่าวจะเกิดความยั่งยืนได้ต้องอาศัยกลไกจากหลายภาคส่วน รวมถึงการติดตั้งระบบการทำงานที่เข้มแข็ง และหน่วยงานในพื้นที่ยอมรับในนวัตกรรมและพร้อมเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีดังกล่าว