ดันเครื่องปั้น"ด่านเกวียน"โกอินเตอร์

 

 

กระทรวงพาณิชย์ผลักดัน "เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน" ขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย (GI) เน้นส่งเสริมการตลาดและการท่องเที่ยวชุมชน เพิ่มรายได้ให้ท้องถิ่น

          นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่แหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ณ ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อประชุมร่วมกับผู้ผลิต ผู้ประกอบการเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน และหน่วยราชการในพื้นที่เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการ และประโยชน์ในการขึ้นทะเบียน GI

 

 

          นางอภิรดี กล่าวว่าเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนนั้นมีความโดดเด่น ทั้งตัวสินค้าที่มีความแข็งแกร่ง และมีความสวยงามแบบมีเอกลักษณ์ รูปแบบงานปั้นที่มีความหลากหลาย สามารถสร้างรายได้เข้าสู่จังหวัดนครราชสีมา  ปีละหลายร้อยล้านบาท โดยร้อยละ 80 ของประชากรในตำบลด่านเกวียน ยึดอาชีพปั้นเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนขายมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ปั้นจากดินด่านเกวียนเป็นดินเหนียวเนื้อละเอียดที่ขุดขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำมูล ที่สำคัญจะมีแร่เหล็กและแร่อื่นๆ เจือปนอยู่ด้วย จนทำให้เวลาเผาแล้วจะมีความแข็งแกร่งคล้ายเหล็กและมีสีสันสวยแปลกตาไม่เหมือนดินที่อื่น ที่เรียกกันว่า Stone Ware คุณสมบัติมีความเหนียวสูงมาก ซึ่งแตกต่างจากเครื่องปั้นดินเผาจากพื้นที่อื่น

 

 

         ปัจจุบัน กรมทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ระหว่างสนับสนุนการจัดทำคำขอ GI และระบบควบคุมตรวจสอบคุณภาพให้แก่เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนได้ภายในปี 2561 ซึ่งหากจดทะเบียนแล้ว จะเป็นสินค้าอันดับที่ 3 ของ จังหวัดนครราชสีมาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI จากที่ลงทะเบียนแล้ว 2 สินค้า ได้แก่ เส้นไหมไทยพื้นบ้านอีสาน และกาแฟดงมะไฟ นอกจากนี้ ยังมีคำขอที่ยื่นเข้ามาและอยู่ระหว่างการตรวจสอบ 3 สินค้า ได้แก่ ไวน์เขาใหญ่ กาแฟวังน้ำเขียว และข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์

 

 

 

         “การลงพื้นที่ ได้สั่งการทุกหน่วยงานงานเร่งรัดการขึ้นทะเบียน GI ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อร่วมกันหาทางสร้างการเพิ่มมูลค่าของสินค้า ส่งเสริมพัฒนา และฝึกอบรม ให้ความรู้ ในด้านการบริหารจัดการธุรกิจที่ดี เพื่อให้ทราบต้นทุน ลดความสูญเสีย เพิ่มช่องทางการค้าทั้งช่องทางทั่วไปและออนไลน์ มองถึงถึงตลาดในและต่างประเทศด้วย ซึ่งปผนบูรณาการช่วยชุมชนบ้านด่านเกวียน จะช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้แก่สินค้า และนำเสนอวิถีชีวิตชุมชน อันจะนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ และภาคบริการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วยนางอภิรดี กล่าว