วันก่อนพูดถึง "มะระ" ว่ามี 2 ชนิด คือมะระจีน และมะระขี้นกซึ่งมะระจีนพูดไปแล้ว วันนี้จึงเป็นคิวของ“มะระขี้นก”ผักพื้นบ้านที่คนรุ่นพ่อแม่เรานิยมปลูกไว้ตามริมรั้ว เพื่อนำผลอ่อน ยอดอ่อน มาลวกจิิ้มกับน้ำพริกกิินแนมกับปลาทูทอดเพิ่มรสชาติความอร่อยของอาหารมื้อนั้นๆได้ดีทีเดียว ทว่า อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับสรรพคุณทางยาของผักชนิดนี้ที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาล
เป็นไม้เถาเลื้อย ในวงศ์ CUCURBITACEAE ที่มีลำต้นเลื้อย พาดพันตามต้นไม้ หรือตามหลักไม้ รั้วไม้ ลักษณะลำต้น เป็นเส้นเล็ก ยาว มีขนขึ้นประปราย ชื่ออื่นๆ ผักไซ (ภาคอิสาน) ผักสะไล และมะไห่ ผักไห่ (ภาคเหนือ)
ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณหยักเว้าลึก 5–7 หยัก ปลายแหลม สีเขียวอ่อน มีรสชาติขม
ดอก ดอกออกเป็นดอกเดี่ยว บริเวณง่ามใบ ลักษณะของดอกมีสีเหลือง กลีบ ดอกบาง ช้ำง่าย
ผล เป็นรูปกระสวยสั้น พื้น ผิวเปลือกขรุขระ มีปุ่มยื่นออกมา ผลอ่อน มีสีเขียว เมื่อแก่เต็มที่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมแดง
ขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ชอบความชื้นและแสงแดดเต็มวัน
สรรพคุณทางยา :
1.น้ำต้มของรากใช้ดื่มแก้ลดไข้ บำรุงธาตุ ฝาดสมาน แก้ริดสีดวงทวาร แก้บาดแผลอักเสบ
2.ใบต้มน้ำดื่มช่วยเจริญอาหาร ช่วยระบาย น้ำคั้นของใบดื่มช่วยทำให้อาเจียน บรรเทาอาการท่อน้ำดีอักเสบ
3.ดอกชงกินกับน้ำ แก้อาการหืดหอบ
4.ผล กินเป็นยาขม ช่วยเจริญอาหาร บำรุงร่างกาย ขับพยาธิ แก้ตับและม้ามอักเสบ หรือจะคั้นน้ำดื่มสัปดาห์ละไม่เกิน 1 แก้ว ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นยาระบาย
5.เมล็ด ใช้เป็นยาขับพยาธิตัวกลม
มะระขี้นก จะมีรสขมกว่ามะระจีน เป็นที่นิยมของผู้สูงอายุ ด้วยการนำผลอ่อนไปต้มหรือเผากินทั้งผล แต่ถ้าเป็นผลแก่ต้องนำมาคว้านเมล็ดออกก่อน
วิธีลดความขม ทำได้ด้วยการต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือประมาณหยิบมือ แล้วลวกในน้ำเดือดสักครู่ จะทำให้ลดความขมลงได้และยังคงมีผลสีเขียวสดอีกด้วย
ข้อควรระวัง :
มะระผลสุก จะมีสารซาโปนิน (Saponin) ในปริมาณมาก เมื่อกินเข้าไปอาจทำให้เกิดอาเจียน ท้องร่วงได้ ฉะนั้น อย่ากินผลสุกของมัน
ผู้ที่ห้ามกินมะระขี้นก :
ได้แก่ ผู้ที่ม้ามเย็นพร่อง กระเพาะเย็นพร่อง หากกินเข้าไปอาจทำให้มีอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ปวดท้องได้ และควรกินในปริมาณที่พอดี เช่น การดื่มน้ำมะระก็อย่าขมจัด เพราะจะทำให้ตับทำงานหนัก และสำหรับหญิงตั้งครรภ์อาจทำให้ตกเลือดหรือแท้งได้
ที่มาข้อมูล : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.rspg.or.th สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ, www.gotoknow.org, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)