ปลูก”เมล่อนญี่ปุ่น”ตลาดรับไม่อั้น!

 

 

เมื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรบริษัทขายเมล็ดพันธุ์แห่งหนึ่งมาเกือบ 2 ทศวรรษ ชายหนุ่มอย่าง ไกรศรี หุ้มสิน ชาว ต.ศรีสงคราม อ.วังสะพุง จ.เลย จึงตัดสินใจยุติชีวิตการเป็นมนุษย์เงินเดือน ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร “ปลูกเมล่อนญี่ปุ่น”ไม้ผลที่เขามองว่าพันธุ์นี้ยังปลูกกันน้อยในบ้านเรา แม้จะลงทุนสูงบ้างในระยะแรก ทว่า ผลตอบแทนคุ้มค่า ที่สำคัญมีตลาดรองรับแน่นอน 

 

 

          ไกรศรีบอกว่า เมล่อนปลูกได้ในเมืองไทย เพราะอากาศเหมาะสม ชอบดินร่วนปนทราย ต้องการแสงแดด แต่ยังถือเป็นพืชคุณหนูที่ต้องดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด เกษตรกรที่สนใจปลูกต้องศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจัง ทั้งต้นทุนผลิต ระยะปลูก ระบบน้ำ การดูแล จึงจะได้ผลผลิตที่คุ้มค่ากับการลงทุน อย่างที่สวนพงศกรเมล่อนญี่ปุ่นของเขา บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ เขาสร้างโรงเรือน 8 หลัง แต่ละหลังกว้าง 6.4 เมตร ยาว 32 เมตร หลังคาพลาสติกมุงด้วยมุ้ง เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช ทั้งเมล่อนเป็นพืชไม่ชอบฝน การปลูกในโรงเรือนช่วยป้องกันน้ำฝน และปลูกได้ทั้งปี

          “แต่ละโรงเรือนเราจะวางระยะห่างการปลูก 45 เซนติเมตร ได้จำนวน 520 ต้น/โรงเรือน ทั้งหมดก็จะได้ต้นเมล่อนกว่า 4,000 ต้น ระหว่างการปลูกอาจมีต้นตาย ไม่ติดผลบ้าง ทำให้ผลผลิตที่ได้รับจะอยู่ที่ร้อยละ 80 หรือคิดเป็น 3,200 ลูก การปลูกใช้เวลา 82-85 วัน แบ่งเป็นเพาะเมล็ด 12-15 วัน ย้ายต้นกล้ามาปลูกในโรงเรือน 23-25 วัน"

ไกรศรี หุ้มสิน

          จากนั้นเมื่อต้นเริ่มติดดอกจะต้องช่วยผสมเกสร เพื่อให้ติดผล เมล่อนสามารถปลูกในดินทุกประเภท โดยเฉพาะดินร่วนปนทราย ชอบอากาศร้อน ต้องการแสงแดด ส่วนระบบน้ำใช้ระบบน้ำหยด เพราะเมล่อนญี่ปุ่นมีระบบรากฝอย จึงไม่ต้องรดน้ำให้ชุ่ม ส่วนการรดน้ำจะรดทุกวัน 4 เวลา คือ เช้า สาย เที่ยง และเย็น

          “ปัญหาหลักของการปลูกเมล่อนญี่ปุ่นคือเรื่องฝน หากต้องการปลูกในเชิงธุรกิจ จะต้องลงทุนเรื่องโรงเรือน เพราะฝนเป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดโรค แมลง ที่สำคัญเรื่องคุณภาพความหวานต้องอยู่ที่ 12-15 บิท หากช่วงทำความหวานเมล่อนโดนน้ำฝน ความหวานจะลดลง ซึ่งจะทำให้เกษตรกรขาดทุนด้านตลาดเขานำไปเปิดขายเองในแหล่งชุมชน ตามขนาด ลูกเล็ก กลาง ใหญ่ กิโลกรัมละ 100 -150 บาท ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากลูกค้าที่มีกำลังซื้อ จากนั้นก็บอกกันปากต่อปาก ปัจจุบันจึงมีผู้มาเที่ยวชม เลือกซื้อกันต่อเนื่อง"

 

          พร้อมเขายังบอกอีกว่า เมล่อนญี่ปุ่นจะรสชาติดี เนื้อนุ่ม หวานหอม มีทั้งสีขาว ส้ม เหลือง ขึ้นกับสายพันธุ์ นำมาประกอบอาหารได้ ทั้งเป็นของหวาน เป็นผลไม้ เป็นเครื่องดื่ม ที่ผ่านมาไทยนำเข้าจากญี่ปุ่น จึงมีราคาขายค่อนข้างสูง ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละกว่า 200 บาทนั่นเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไกรศรี เปิดพื้นที่สวนเมล่อนญี่ปุ่นของเขาให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับผู้สนใจ เพราะต้องการนำความรู้ด้านการเพาะปลูกพืชในรูปแบบใหม่ให้เกษตรกรไทยได้ทดลอง

            "ตั้งใจให้คนไทยมีเมล่อนญี่ปุ่นกินในราคาที่ไม่แพง ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาแนวร่วมขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม เพราะผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมีไม่เพียงพอกับผู้บริโภค หากเกษตรกรรายใดสนใจสามารถมาศึกษาดูงาน พร้อมที่จะให้ข้อมูลการปลูก การดูแล"  อีกทั้งในสวนของเขายังปลูกฟักทองญี่ปุ่นเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า เน้นขายส่งร้านทำขนมหวานนำไปทำสังขยาฟักทอง ซึ่งขณะนี้ได้รับความสนใจมากเช่นเดียวกับเมล่อน

 

 

 

ไกรศรี ย้ำว่า ผลผลิตทั้งหมดในสวนของเขาได้รับมาตรฐานการผลิตพืชปลอดภัยตามมาตรฐานจีพีเอด้วย ส่วนท่านที่สนใจเรื่องราวของไม้ผลชนิดนี้ เขายินดีให้คำแนะนำแก่ทุกคน ส่วนใครที่ผ่านไป จ.เลย ก็แวะที่สวนได้ ที่หมู่ 6 ต.ศรีสงคราม อ.วังสะพุง หรือโทรศัพท์สอบถามที่ 08-9778-9966