จีนผันน้ำจากใต้สู่เหนือ! ไทยผันไปไหน?

 

  จีนเป็นชาติมหาอำนาจที่ต้องจับตามอง หลังเปลี่ยนจากระบอบคอมมิวนิสต์มาสู่ทุนนิยม โดยเปิดเสรีในหลายๆ ด้านกลายเป็นพลังขับเคลื่อนพลิกประเทศอย่างมโหฬาร

              จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาที่ออกจะง่อนแง่นอยู่กับความสำเร็จในอดีต  ประเทศพัฒนามีอะไรจีนก็มีอันนั้น  จีนจึงมีอาคารสูงสำหรับอยู่อาศัยมากที่สุดในโลกกระจายในหลายมณฑล จีนมีโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายคมนาคม ทั้งสนามบิน รถไฟฟ้าความเร็วสูง ถนนทางหลวง และ ฯลฯ  

 

 

             จีนให้ความสำคัญเรื่องน้ำมากเพียงใด ดูได้จากการเป็นประเทศที่เคยขาดแคลนอาหาร ประชากรอดอยาก ผลิตข้าวไม่พอกินจนต้องอพยพหนีตาย  วันนี้จีนได้ชื่อว่าเป็นประเทศส่งออกข้าวสุทธิ  เบื้องหลังคือการพัฒนาแหล่งน้ำ นับแต่ประธาน เหมา เจ๋อ ตุง ยึดอำนาจได้สำเร็จ

             จีนตัดสินใจแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก และแก้ไขปัญหาขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าด้วย โครงการเขื่อนสามผา ที่ยิ่งใหญ่ แลกกับการอพยพผู้คนไม่น้อยกว่า 3 ล้านคนออกจากพื้นที่

            ขณะเดียวกันพื้นที่บริเวณส่วนเหนือของจีน ซึ่งรวมถึงนครปักกิ่ง กลับประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร การอุตสาหกรรม เพราะมีปริมาณน้ำเพียง 20% ของน้ำทั้งหมด ในขณะพื้นที่ส่วนใต้กลับมีน้ำสมบูรณ์ 80%

 

เขื่อนสามผา

โจทย์ของจีนคือ ทำอย่างไรถึงจะผันน้ำจากใต้ ขึ้นเหนือ เพื่อแก้ปัญหาน้ำขาดแคลน ไม่ว่าเพื่อภาคการเกษตร หรือภาคอุตสาหกรรม อย่าลืมว่า ภาคอุตสาหกรรมของจีนนั้นมีความสำคัญไม่น้อย และไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมไหนไม่ใช้น้ำ ไม่ใช้ไฟฟ้า และไม่มีประเทศพัฒนาที่ไหนที่ไม่มีอุตสาหกรรมอยู่ในแถวหน้า

             จีนคิดโครงการผันน้ำจากใต้สู่เหนือ ตั้งแต่สมัย ดร.ซุนยัดเซ็น จนถึงสมัยประธานเหมา เจ๋อ ตุงผู้ประกาศให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนในปี 2495 ที่ชะงักงันเพราะจีนเผชิญปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะปัญหาการเมือง

             จีนลงมือทำโครงการนี้เมื่อปี 2545 หรือ 50 ปีให้หลัง เป็นโครงการผันน้ำจากแม่น้ำแยงซีและลำน้ำสาขาขึ้นเหนือ โดยแบ่งเป็น 3 สาย ได้แก่ สายตะวันตก สายกลาง และสายตะวันออก รวมปริมาณน้ำที่ผันปีละ 44,000 ล้านลูกบาศก์เมตร 

            โดยเฉพาะเส้นทางสายกลาง ที่มีปลายทางอยู่ที่นครปักกิ่ง นครหลวงของจีน ระยะทาง 1,400 กิโลเมตร นั้นพอๆ กับจากภาคใต้สู่ภาคเหนือของประเทศไทย

 

โมเดลการผันน้ำของจีน

          ผันน้ำก็ต้องมีแหล่งน้ำ เป็นอ่างเก็บน้ำความจุประมาณ 33,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ก่อนผันก็เสริมความจุอ่างอีก 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ใกล้เคียงกับปริมาณที่ต้องผันขึ้นเหนือ 13,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

             จีนคิดทำในเชิงยุทธศาสตร์ แก้ปัญหาการขาดแคลนโดยเฉลี่ยทรัพยากรน้ำสร้างความสมดุลส่วนที่ว่าทำอย่างไรนั้น ในทางวิศวกรรมไม่เคยตีบตัน ทำได้ทั้งในรูปคลองเปิด ท่อน้ำ สะพานน้ำ อุโมงค์ส่งน้ำ ฯลฯ และไม่ใช่มุ่งด้านก่อสร้างอย่างเดียว ด้านสิ่งแวดล้อมจีนก็มีแผนงาน มีการกำกับควบคุมมีการวิจัยสนับสนุน เช่นเดียวกับที่ประเทศพัฒนาอื่นเขาทำกัน

             จากจีนแล้วหวนกลับมาไทย เมื่อกลางปีที่ผ่านมา นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทานนำคณะไปดูโครงการนี้ พูดเป็นเสียงเดียวว่า มาดูเพื่อศึกษาในฐานะที่ขับเคลื่อนจนสำเร็จ ประเทศไทยเองก็มีโครงการขนาดใหญ่ และมีปัญหาคล้ายกัน บางพื้นที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ในขณะบางพื้นที่กลับขาดแคลนน้ำ หากผันน้ำข้ามลุ่มน้ำได้ก็จะเกิดประโยชน์มากมาย

 

 

              จริงๆ แล้ว ประเทศไทยควรหันมามองอนาคตน้ำอย่างจริงจัง โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่เป็นหัวใจของประเทศในด้านการเกษตร อุตสาหกรรม รวมทั้งการบริการท่องเที่ยว

              หวนมองย้อนอดีตของระบบชลประทานสมัยใหม่ ถ้าเอาเขื่อนเจ้าพระยาเป็นตัวตั้ง ก่อสร้างเสร็จปี 2500 ทุ่งเจ้าพระยาใช้เขื่อนทดน้ำแห่งนี้จนเต็มศักยภาพ ควบคู่ไปกับเขื่อนพระรามหก ซึ่งเป็นเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกของประเทศ จึงนำไปสู่การก่อสร้างเขื่อนภูมิพล ซึ่งแล้วเสร็จในปี 2507 เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุน ทั้งผลิตไฟฟ้าคู่กับส่งน้ำให้ภาคเกษตรกรรม ตามด้วยเขื่อนสิริกิติ์ กระทั่งเริ่มเต็มศักยภาพก็ได้ผ่อนแรงคือเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนกับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ทั้งช่วยพื้นที่การเกษตร บรรเทาปัญหาน้ำท่วม เป็นอ่างพวงที่คอยสอดแทรกเข้ามา

             บัดนี้ เขื่อนภูมิพลโรยแรงลงตามลำดับ ทั้งฝนเหนือเขื่อนน้อยลง สร้างเขื่อนด้านบนมากขึ้น พอๆกับการตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำ ภาระหนักจึงตกที่เขื่อนสิริกิติ์เป็นสำคัญ

             ยุทธศาสตร์น้ำไทยก็ไม่น่าต่างจากจีน คือทำอย่างไรผันน้ำไปเติมอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล ขณะนี้มีน้ำเพียง 50% ของความจุ ในขณะเขื่อนสิริกิติ์เก็บน้ำได้มากถึง 90% อีก 2 เขื่อนก็เต็มเกือบ100%

 

เขื่อนภูมิพล

             กรมชลประทานศึกษาการผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำไว้หลายแนวทาง ระยะทางไม่ยาวถึง 1,400 กิโลเมตร เหมือนอย่างจีน แต่อุปสรรคขวากหนามนั้นมากมายยุ่งยากกว่า  โดยเฉพาะบรรดานักอนุรักษ์สุดโต่งทั้งหลาย โดยไม่คำนึงว่า หากไม่มีน้ำเติมเข้ามา ต่อไปคนไทยลุ่มเจ้าพระยาจะอยู่ ทำกินอย่างไร ความเจริญก้าวหน้าในอนาคตจะเป็นเช่นไร ฯลฯ

 

             โลกของการพัฒนาไม่ควรพัฒนาลูกเดียว เช่นเดียวกับโลกอนุรักษ์ไม่ควรอนุรักษ์แบบปู่โสมเฝ้าทรัพย์ แหล่งน้ำของประเทศไทยจึงต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์เสมอ