กล้วยน้ำว้าเชิงการค้า ที่เมืองสองแคว

 

 

 

 

         “กล้วยน้ำว้า” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกที่สำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน  ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากภัยแล้งรวมถึงผลกระทบจากโรคตายพรายและหนอนกอกล้วย ทำราคากล้วยนั้นมีราคาตกลงไป  จังหวัดพิษณุโลก เป็นแหล่งแปรรูปผลิตภัณฑ์กล้วยตากที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  เกษตรกรมีความต้องการต้นพันธุ์กล้วยน้ำว้าสำหรับปลูกขยายเป็นจำนวนมาก แต่กลับให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคตายพรายก่อนปลูกข้างน้อยและจะเห็นความสำคัญเมื่อกล้วยแสดงอาการของโรคแล้วซึ่งไม่ทันการณ์และแก้ไขได้ยาก

 

 

         นายเกษม ไตรพิจารณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 9 จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่าสสก.9 พิษณุโลก ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมปลูกกล้วยน้ำว้าพันธุ์ดีจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยให้ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการตามแผนพัฒนาจังหวัดพิษณุโลก ปี 2560 ดำเนินการครอบคลุมพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกทั้ง 9 อำเภอ พื้นที่รวม 209 ไร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกล้วยน้ำว้าเชิงการค้า ผสมผสานตามแนวพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยใช้กลไกของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) ขับเคลื่อนในพื้นที่โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชที่หลากหลายและพื้นที่ส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (กล้วย) โดยใช้พันธุ์กล้วยน้ำว้ามะลิอ่องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อมุ่งหวังแก้ปัญหาโรคตายพรายและหนอนกอกล้วยได้ในที่สุด ผลผลิตที่ได้ประมาณ 8,000 บาทต่อไร่ ซึ่งสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเกษตรกรได้เป็นอย่างดี

 

         สำหรับการเตรียมการก่อนการปลูกกล้วยให้ได้ผลผลิตดีนั้น เกษตรกรจะต้องวางแผนการปลูกโดยต้องมีการคัดเลือกต้นพันธุ์กล้วยน้ำหว้าจากต้นพันธุ์กล้วยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพราะเป็นต้นพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปลูกเชิงการค้าและไม่มีโรคตายพรายและหนอนกอกล้วย จะได้ขนาดต้นและอายุที่สม่ำเสมอเจริญเติบโตเร็วให้ผลผลิตสูงกว่าเมื่อเทียบกับต้นพันธุ์ชนิดอื่น นอกจากนี้สามารถกำหนดช่วงเวลาการปลูกและกำหนดผลผลิตราคาได้ง่าย อย่างไรก็ดีเกษตรกรสามารถคัดเลือกหน่อพันธุ์ โดยขุดจากต้นแม่ที่มีอายุ 8 เดือนขึ้นไปหรือช่วงต้นแม่กำลังตกเครือให้ผลผลิตเพราะเป็นระยะที่กล้วยแสดงอาการของโรคตายพรายชัดเจนมากที่สุด รวมถึงต้องเตรียมวัสดุปลูกและสารชีวภัณฑ์ โดยเตรียมผลิตปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายดีแล้ว จำนวน 1 ตัน/ไร่ ผสมกับเชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma) ซึ่งเกษตรกรสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบเชื้อสดผลิตโดยหน่วยงานกรมส่งเสริมการเกษตร และสารเร่งซุปเปอร์พด.3 ของกรมพัฒนาที่ดิน เนื่องจากสามารถเจริญเติบโตแข่งขัน ยับยั้ง และทำลายเชื้อราสาเหตุตายพรายได้และยังเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุช่วยปรับโครงสร้างดินและส่งผลให้พืชสามารถใช้ปุ๋ยเคมี ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 4x4 เมตร ในพื้นที่ 1 ไร่ สามารถปลูกได้ 100 ต้น รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักผสมกับเชื้อราไตรโคเดอร์มา ประมาณ 5 กก./หลุม/ ต้น และแบ่งทยอยใส่เพิ่มหลังปลูก 2-3 เดือน/ครั้ง อีกประมาณ 5 กก./ต้น

 

 

         นอกจากนี้ เกษตรกรต้องดูแลรักษาโดยการตัดแต่งหน่อและใบเพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของด้วยศัตรูกล้วย ในฤดูฝนไม่ควรนำเศษซากของหน่อและใบที่ตัดแต่งแล้วสุมไว้บริเวณโคนต้นเพราะจะอับชื้นและเหมาะต่อการวางไข่ของด้วงดังกล่าว  ส่วนในฤดูแล้งสามารถทำได้เพื่ออนุรักษ์น้ำในดินแต่เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนควรเอาออกจากกอด้วย อุปกรณ์การเกษตรที่ใช้ในการตัดแต่งหน่อและใบสามารถกระจายเชื้อตายพรายจากต้นเป็นโรคสู่ต้นปกติได้   ส่วนการตัดแต่งใบนั้นในช่วงระยะเจริญเติบโตควรไว้ใบบนต้นอย่างน้อย 10-12 ใบ เพื่อให้กล้วยแทงปลีเร็วขึ้น   เมื่อกล้วยตกเครือแล้วควรแต่งใบที่อาจเสียดสีกับผลกล้วยออกและเหลือไว้เพียง 5-7 ใบก็พอ การกำจัดวัชพืช เลือกกำจัดวัชพืชโดยวิธีการพรวนดิน  ควรทำภายใน 1-2 เดือนแรกหลังปลูกในขณะที่รากกล้วยยังขยายไปไม่มากนัก  เพื่อไม่ให้กระทบต่อระบบรากเพราะจะทำให้กล้วยชะงักการเจริญเติบโต ส่วนการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชนั้นเกษตรกรต้องคำนึงถึงชนิด อัตราความเข้มข้น และช่วงเวลาการใช้ที่ต้องเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากผลกระทบของสารเคมีและสารพิษตกค้าง  การให้ปุ๋ย  หากต้องการกระตุ้นผลผลิตให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมออัตรา 100 กรัม/ต้น หลังปลูกติดต่อกันประมาณ 5 เดือนหรือจนกว่ากล้วยจะแทงหน่อลูก  จากนั้นให้งดปุ๋ยไปจนกว่ากล้วยจะแทงปลีแล้วเปลี่ยนเป็นสูตรที่มีโพแทสเชียมสูง เช่น สูตร 13-13-21เพื่อกระตุ้นการสะสมแป้งและน้ำตาลในอัตราเดียวกัน คือ 100 กรัม/ต้น/เดือนไปจนกว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิต  

 

         “จากนโยบายการทำการเกษตรด้วยการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ผลิตกล้วยน้ำหว้า ที่มุ่งเน้นตั้งแต่การเตรียมการก่อนปลูก ตลอดจนการดูแลรักษา และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตกล้วยน้ำหว้า เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ลดโรค-แมลง ที่ยั่งยืนตลอดไป” นายเกษม กล่าว