ชง 3 ข้อแก้ปาล์มตกต่ำ : ผลิตบี20-ดูดซับ15.4ล้านตัน-ราคาต่อกก.สูงขึ้น (ชมคลิป)

 

      ากสถานการณ์น้ำมันปาล์มดิบล้นตลาดและมีราคาตกต่ำ กระทรวงพลังงานได้หาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ซึ่งมีเป้าหมายจำหน่ายที่ 15 ล้านลิตรต่อวัน และคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบได้มากขึ้น จากเดิม 1.3 ล้านตันต่อปี เป็น 2 ล้านตันต่อปี โดยกำหนดให้ราคาขายปลีกน้ำมัน บี 20 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลต่อการลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและค่าโดยสาร รวมถึงค่าครองชีพของประชาชนที่จะลดลงได้อีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาทดลองใช้น้ำมัน บี 20 ในรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่บางยี่ห้อบางรุ่น พบว่าไม่มีผลกระทบต่อเครื่องยนต์ อีกทั้ง ยังทำให้ระบบการเผาไหม้ของเครื่องยนต์สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ชมคลิป)

 

       ด้านกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 5 พ.ย.2561 นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มในบางพื้นที่ตกต่ำกว่ากิโลกรัม (กก.) ละ 3 บาท ว่า กรมฯ ได้เร่งรัดดำเนินการ 3 มาตรการเร่งด่วนเพื่อยกระดับราคา โดย มาตรการแรก จะเร่งส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ 3 แสนตันภายใน 3 เดือน ขณะนี้เสนอสำนักงบประมาณเพื่อนำเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบการใช้เงินงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 525 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้สนับสนุนต้นทุนค่าขนส่งและค่าบริหารจัดการให้ผู้ประกอบการ กก.ละ 1.75 บาท และจะเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณาต่อไป

       มาตรการที่ 2 จะผลักดันให้มีการเร่งใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่ให้เพิ่มขึ้นโดยด่วนเพื่อดูดซับน้ำมันปาล์มส่วนเกิน รวมทั้งเสนอให้กระทรวงพลังงานซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องในการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 และมาตรการจูงใจให้มีการพัฒนารถยนต์บรรทุกขนาดเล็กให้สามารถใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ได้ เพื่อขยายช่องทางรองรับผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้ 1.2-1.5 แสนตันต่อเดือน และ

       มาตรการที่ 3 สนับสนุนร่างประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดวัตถุดิบและคุณภาพผลิตภัณฑ์ของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม โรง A ต้องสกัดน้ำมันได้ไม่น้อยกว่า 18% และโรง B ต้องสกัดน้ำมันได้ไม่น้อยกว่า 30% เพื่อผลักดันให้มีการบังคับใช้โดยเร็ว ตามความเห็นของสภาเกษตรกรแห่งชาติและเกษตรกรส่วนใหญ่

       “หากสามารถดำเนินมาตรการทั้งหมดควบคู่กันไปได้ คาดจะช่วยดูดซับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่กำลังจะทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือน พ.ย.2561-ก.พ.2562 รวม 15.4 ล้านตัน และช่วยลดภาวะการสต๊อกน้ำมันปาล์มลงได้อีก 50% จากปัจจุบันที่มีสต๊อกอยู่ราว 3.5-3.8 แสนตัน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 3.50-3.60 บาทจากปัจจุบันที่ระดับราคาเฉลี่ย 2.90-3.40 บาท”