พบบ่อย"ทุเรียนอ่อน"-แก้ พ.ร.บ.เพิ่มโทษทั้งจำคุก-ปรับหนัก!

 

    นนทบุรี - นายวิชัย โภชนกิจ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกรณีผู้นำเข้าจากต่างประเทศตรวจพบทุเรียนด้อยคุณภาพ หรือทุเรียนอ่อนไม่สามารถรับประทานได้ ซึ่งนำเข้าจากประเทศไทยว่า เบื้องต้นตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ส่งออกที่รับซื้อทุเรียนจากล้ง อ.หลังสวน จ.ชุมพร ตลาดซื้อขายทุเรียนส่งออกรายใหญ่ของภาคใต้ เพื่อส่งต่อไปยังตลาดที่ปักกิ่ง ประเทศจีน 6 ตู้คอนเทนเนอร์ ในจำนวนนี้ตรวจพบทุเรียนที่ไม่ได้คุณภาพ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ ล่าสุด เจ้าของล้งทุเรียนใน จ.ชุมพร ออกมายอมรับผิดและยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกว่า 2 ล้านบาท และให้ทำลายทุเรียนล็อตที่ไม่ได้คุณภาพทิ้ง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประเทศและผู้ส่งออก เนื่องจากจีนเป็นประเทศส่งออกทุเรียนอันดับ 1 ของไทย 

      โดยการส่งออกทุเรียนไปต่างประเทศจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานผู้ส่งออกก่อนส่งออกทุเรียนไปต่างประเทศจากกรมวิชาการเกษตรทุกครั้ง โดยทุเรียนที่พร้อมส่งออกจะต้องมีระดับความสุกร้อยละ 80 แต่ทุเรียนที่ตรวจพบครั้งนี้มีระดับความสุกเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น

      สำหรับปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพ เป็นปัญหาที่พบบ่อยและต้องเร่งแก้ไข เพราะอาจกระทบต่อการส่งออกทุเรียนระยะต่อไป ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะหารือร่วมกับกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จะปรับปรุงกฎหมายให้รัดกุมและเข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อคุมเข้มคุณภาพการส่งออกและดูแลล้งทั่วประเทศ โดยให้คำนึงถึงคุณภาพ เพื่อรักษาตลาดต่างประเทศ เพราะกฎหมายที่บังคับใช้ปัจจุบันยังไม่รัดกุมเท่าที่ควร โดยเบื้องต้นเห็นตรงกันแก้กฎหมายเพิ่มโทษเอาผิดส่งออกผลไม้อ่อนไปตลาดต่างประเทศ

      ทั้งนี้ การจงใจจำหน่ายทุเรียนอ่อนเข้าข่ายความผิด ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 271 ผู้ใดขายโดยหลอกลวงด้วยประการใดๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ หรือปริมาณแห่งของอันเป็นเท็จนั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 47 ผู้ใดเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณหรือสาระสำคัญประการอื่น อันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณา หรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.

      ที่มา : สำนักข่าวไทย