"ลักษณ์" ขึ้นเหนือตรวจการบริหารจัดการลำไย

         นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางไปตรวจราชการ "การบริหารจัดการลำไยภาคเหนือ" โดยมีการติดตามงานในพื้นที่จังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561
         รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ปริมาณผลผลิตลำไยภาคเหนือในปีนี้ คาดว่าจะออกสู่ตลาดรวม 654,329 ตัน เป็นผลผลิตลำไยในฤดู 381,498 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 1.01 (ปี 2560 ผลผลิต 377,679 ตัน) และผลผลิตลำไยนอกฤดู 272,831 ตัน มีพื้นที่ที่เป็นแหล่งผลิตสำคัญ 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง ตาก และแพร่ ซึ่งจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุด 2 อันดับแรก คือ เชียงใหม่ มีผลผลิต จำนวน 137,219 ตัน (ร้อยละ 36.23) และลำพูน มีผลผลิต จำนวน 125,120 ตัน (ร้อยละ 33.04) สำหรับสถานการณ์ด้านราคา อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เนื่องจากได้มีการพัฒนาคุณภาพของลำไย ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด และมีผู้ประกอบการมีความประสงค์ที่จะซื้อลำไยเป็นจำนวนมาก

         สำหรับแนวทางบริหารจัดการลำไยภาคเหนือนั้น ที่ผ่านมา นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้นำแนวทางของนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการรวมพลังประชารัฐ โดยเชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาทำงานร่วมกัน ซึ่งในการบริหารจัดการลำไยภาคเหนือตอนบน ทางจังหวัดได้ทำแผนบริหารจัดการลำไย 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ที่ไม่มีการเพาะปลูก สนับสนุนให้บริโภคผลสดภายในประเทศ, การแปรรูป ทั้งลำไยอบแห้งและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และ การส่งออกเป็นผลสดไปยังต่างประเทศซึ่งมีจีนเป็นตลาดใหญ่
         ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ทำงานในเชิงรุกด้วยการรณรงค์ร่วมกับพี่น้องเกษตรกรให้พัฒนาคุณภาพผลผลิตลำไยให้ได้มาตรฐานตามความต้องการของตลาด โดยวิธีการตัดแต่งช่อลำไยให้มีปริมาณที่มีความเหมาะสม จากการเปรียบเทียบใน 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้มีสัดส่วนเกรดเพิ่มขึ้นจาก ปี 2560 สัดส่วนเกรด AA : A : B เท่ากับ 50 : 45 : 5 เพิ่มขึ้นเป็นเกรด AA : A : B เท่ากับ 60 : 40 : 0 จากเกษตรกรที่เข้ามาร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (ลำไย) และถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จำนวน 6,543 ราย ซึ่งจะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในปีถัดไป เพื่อให้ลำไยในเขตภาคเหนือเป็นลำไยที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

         นอกจากนี้ ยังพยายามลดต้นทุนการผลิต โดยส่งเสริมให้มีการตัดแต่งกิ่งเป็นทรงพุ่มเตี้ย เพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยว รวมถึงไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันที่ยาวเกินไป พร้อมมีการนำร่องในการค้าขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ด้วยระบบ e-Market ผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือ Thailandpostmart.com ซึ่งจะเป็นการขายส่งตรงถึงมือผู้บริโภค อันเป็นสินค้าคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม และผู้บริโภคสามารถเลือกพันธุ์ที่จะรับประทานได้ตามความต้องการ ทั้งพันธุ์อีดอ พันธุ์สีชมพู และพันธุ์เบี้ยวเขียว