เสนอ 3 ประเด็นแก้ร่าง พ.ร.บ.ขายฝากที่ดิน หวั่นเกษตรสูญที่ทำกิน

         ว่าที่ร้อยตรีสมพูนทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ได้เข้าร่วมรับฟังและเสนอความคิดเห็น "ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ....." ณ โรงแรมเดอะเบอร์เคลี่ย์โฮต็ล ประตูน้ำ
         ซึ่งคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการฯพิจารณาเห็นว่ากฎหมายขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับปัจจุบันพบว่าประชาชนโดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาขายฝากและเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียที่ดินทำกินอันเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ คณะกรรมการฯจึงได้มีมติเห็นชอบให้จัดทำ "ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ....."
         โดยมีเจตนารมณ์ในการกำหนดมาตรการและกลไกพิเศษเพื่อคุ้มครองประชาชนจากสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยที่ไม่เป็นธรรม ทางสภาเกษตรกรแห่งชาติเห็นว่าสาระของร่างกฎหมายน้ำหนักจะไปอยู่ที่ "ผู้ซื้อฝาก" จึงได้เสนอความเห็นใน 3 ประเด็น คือ การกำหนดระยะเวลาในการขายฝาก ควรมีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี, ห้ามขายฝากที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยที่อยู่ในที่ดินประกอบอาชีพเกษตรกรรม, ในกรณีที่หลุดสัญญาการขายฝากไปแล้วสามารถให้ "ผู้ขายฝาก" มีสิทธิ์ซื้อคืนได้ และควรกำหนดระยะซื้อคืนภายใน 1-3 ปี ในราคาเดิมบวกดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนด
         ประเด็นดังกล่าวสภาเกษตรกรฯได้เคยเสนอไปยังกระทรวงยุติธรรมแล้ว หลังจากนั้นมาก็ได้มีการพิจารณาเรื่องนี้หลายครั้งและเชิญทางสภาเกษตรกรฯไปชี้แจงล่าสุดคือครั้งนี้ หากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีน้ำหนักการคุ้มครองไปทาง "ผู้ซื้อฝาก" มากกว่าหรือขั้นตอนการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐยุ่งยากและเอื้อต่อ "ผู้ซื้อฝาก" เมื่อเกษตรกรมีความจำเป็นก็จะทำให้เกิดกรณีการหลีกเลี่ยงสัญญาซื้อขายฝากเป็นการซื้อขายสิทธิ์เด็ดขาดแทน ปัญหาจะเกิดตามมาคือหนี้นอกระบบที่มีการทวงหนี้รูปแบบต่างๆ การสูญเสียที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัยเกษตรกรก็จะเกิดความเดือดร้อนแน่นอน โดยจะมีการยกร่าง ปรับปรุง/แก้ไขและรับฟังความคิดเห็นอีกครั้งก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป