ทางหลวงประเดิมยางแปรรูป"หลักนำทาง"1.3แสนต้นช่วยชาวยาง

 

การยางฯ เซ็น MOU กรมทางหลวง นำร่องใช้ยางพาราแปรรูปเป็นเสาหลักนำทาง 1.3 แสนต้น เริ่ม ก.ค.61 เตรียมขยายทำแบริเออร์ ทางเท้า ที่กั้นขอบทาง

          ตามที่การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดยนายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการฯ และนายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการศึกษาวิจัยและพัฒนาและการส่งเสริมการใช้ยางพาราในภารกิจของกรมทางหลวง เน้นให้เกิดความร่วมมือเพื่อพัฒนางานวิจัย ต่อยอดสู่การผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางพารา หรือเทคโนโลยีในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางพาราในรูปแบบต่างๆ เมื่อวันที่ 30 ต.ค.60 ที่ผ่านมานั้น

 

 

          นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลให้กรมใช้ยางพาราน้ำ จำนวน 9,000 ตันต่อปี ซึ่งกรมจะใช้ในรูปแบบพาราสลาลี่ซีล และพาราแอสฟัลท์ จำนวน 5% ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และในปี 2561 ใช้ฉาบผิวถนนไปแล้ว 1,000 ตัน ดังนั้น อีก 8,000 ตัน หากนำมาใช้แบบเดิมจะมีค่าใช้จ่ายถึง 4,000 ล้านบาท ทางกรมจึงได้หารือร่วมกับการยาง เปลี่ยนยางพาราน้ำเป็นแผ่น ใช้กับเสาหลักนำทาง ที่กั้นขอบทาง ทางเท้า และหลักกิโลเมตร

        โดยเบื้องต้นที่ทำเร็วคือ เสาหลักนำทางใช้ยางประมาณ 15 กิโลเมตรต่อ 1 ต้น จากงบจัดซื้อยางเหลือจ่ายไม่เกิน 500 ล้านบาท จึงตั้งเป้าปีนี้ใช้ 1.2-1.3 แสนต้นทั่วประเทศ ต้นทุนต่อต้น 2,600-2,700 บาท จากเดิมหลักคอนกรีต 800 บาท/ต้น ต้นทุนแพงกว่าแต่สามารถช่วยรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรได้มากว่าเดิม จึงขอให้การยางฯประสานสหกรณ์ชุมชน เข้ามาร่วมประกวดราคา คาดว่าลงนามไม่เกิน 6 เดือน หรือ ก.ค.61 น่าจะติดตั้งทั่วประเทศ ในพื้นที่มืด และทางโค้ง อีกทั้ง ในอนาคตจะขอความร่วมมือการยางฯในการวิเคราะห์ ผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้ยางพารา เช่น แบริเออร์ก่อสร้างที่ใช้ยางพาราไม่ต่ำกว่า 250 กิโลเมตร ที่กั้นขอบทาง และทางเท้า พร้อมเตรียมหารือกับกรมบัญชีกลางและสำนักงบประมาณให้สามารถบรรจุการซื้อยางพาราในงบประมาณประจำปีด้วย

        ด้าน ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า ขอบคุณกรมทางหลวงที่เป็นหน่วยงานแรกที่มีการผลักดันนโยบายใช้ยางกับงานภาครัฐจริงๆ พร้อมกล่าวถึงเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางพาราในประเทศจากเดิมการผลิตแต่ละปีจะใช้ในประเทศประมาณร้อยละ 10 ที่เหลือเป็นการส่งออก ในอนาคตจะปรับสัดส่วนให้มีการใช้วัสดุที่ผลิตจากยางพาราในประเทศให้ได้สัดส่วนร้อยละ 30 ภายใน 3 ปี ซึ่งจะเป็นทางออกหนึ่งช่วยลดปัญหาด้านราคาด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นดังกล่าว